คริสตจักรสัมพันธ์ในประเทศไทยที่ข้าพเจ้ารู้จัก
ในวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1983 คริสตจักรสัมพันธ์ในประเทศไทย ได้สมัครเป็นสมาชิกของสหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย และได้เป็นสมาชิกสมบูรณ์ในวันที่ 3 กันยายน ค.ศ. 1986
แต่ก่อนที่คริสตจักรสัมพันธ์ในประเทศไทย จะก่อตั้งขึ้นและมีอายุครบ 25 ปีนั้น ได้มีคนไทยกลุ่มแรกๆได้เชื่อและต้อนรับเอาพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด โดยการประกาศพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ผ่านทางมิชชันนารี คณะโอเอ็มเอฟ. ซึ่งพี่น้องคริสเตียนเหล่านี้ ส่วน มากอยู่ในชนบทของภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคใต้ และทุกคนก็ได้ร่วมนมัสการพระเจ้า สามัคคีธรรมกันตามภาคของตนเอง
พี่น้องคริสเตียนเหล่านี้ ร่วมสามัคคีธรรมกัน เป็นกลุ่ม เป็นคริสตจักรเล็กๆ ซึ่งแต่ละคริสตจักรมีอิสระในการนมัสการ และในการทำพันธกิจ โดยมีผู้นำเป็นฆารวาส แต่ในเวลาเดียวกัน คริสตจักรเล็กๆเหล่านี้ ก็ได้ร่วมกันจัดประชุมใหญ่ทุกปี เพื่อรับการสอน ฟื้นฟูจิตวิญญาณ และหนุนใจซึ่งกันและกัน
ซึ่งในเวลานั้น ทุกคนเห็นว่าควรจะมีศิษยาภิบาลคนหนึ่ง เพื่อเป็นผู้ประสานงาน คอยหนุนใจ และเยี่ยมเยียนแต่ละคริสตจักร และเห็นว่าควรมีคณะกรรมการกลางเพื่อเป็นผู้ประสานงานของทุกคริสตจักรโดยร่วมกันร่างธรรมนูญคริสตจักรเพื่อที่จะเป็นระเบียบและใช้ร่วมกัน
ในเดือน เมษายน ค.ศ. 1957 ได้จัดให้มีการประชุมฟื้นฟูใหญ่ในภาคกลาง 2 ค่าย คือ 1. ของพี่น้องที่เป็นคนป่วย 2. ค่ายของพี่น้องคริสเตียนทั่วไปในภาค
ในเวลานั้นอาจารย์อาภร ชาลีรินทร์ เป็นผู้จัดการ โรงพยาบาลคริสเตียนมโนรมย์ และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานของคณะกรรมการคริสตจักรภาคกลางด้วย
หลังจากนั้น ก็ได้จัดให้มีการประชุมฟื้นฟูใหญ่ประจำปี สำหรับคริสเตียนในภาคใต้ ภาคเหนือ และกรุงเทพฯ ซึ่งการประชุมฟื้นฟูใหญ่ประจำปีของแต่ละภาคนั้น ได้เรียกการประชุมว่า “การประชุมฟื้นฟูประจำปีของผู้เชื่อ” เพราะว่าในเวลานั้นได้เน้นการประกาศนำคนมาเชื่อพระเยซูคริสต์มากกว่าการตั้งคริสตจักร ซึ่งในเวลานั้นผู้นำคริสตจักร และมิชชั่นนารีคณะโอเอ็มเอฟ ไม่มีเป้าหมายในการตั้งองค์การของคริสตจักร โดยคิดว่า “ลูกแกะของพระเจ้าควรได้รับการเลี้ยงดูจากพี่เลี้ยงและผู้นำท้องถิ่น ”
ช่วงนั้นเอง อาจารย์ทรงสรร ประสพสิน ได้แต่งเพลงคริสเตียนขึ้น ชื่อเพลง “ผู้เลี้ยงที่ดี” และท่านได้แต่งเพลงอีกหลายเพลงที่อยู่ในเพลงไทยไพเราะ ซึ่งบทเพลงเหล่านี้มีบทบาทมากในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างคริสเตียนกับคริสตจักรที่กำลังทวีมากขึ้น
และในเวลานั้น ได้มีผู้รับใช้เต็มเวลาทั้งชาย-หญิง ที่เรียนและจบมาจาก 3 สถาบัน คือ พระคริสตธรรมพะเยา พระคริสตธรรมกรุงเทพฯ พระคริสตธรรมมารนาธาได้ถูกเชิญมาร่วมรับใช้ในคริสตจักรท้องถิ่น ซึ่งผู้รับใช้เหล่านี้ได้รู้จักกัน ได้ร่วมงานพันธกิจและสามัคคีธรรมกันอย่างดี
บางคนมาจากภาคเหนือจากคริสตจักรสภาเพรสไบทีเรียนฯ ซึ่งเป็นคริสตจักรที่มีกฏระเบียบ รูปแบบ ในการนมัสการและรับใช้พระเจ้า ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงนำรูปแบบ และระเบียบต่างๆ เหล่านี้ มาแนะนำและใช้ในคริสตจักรท้องถิ่น
ในเวลานั้นได้มีองค์การคริสเตียน หลายคณะ หลายนิกาย เข้ามาในประเทศไทยจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้เอง ผู้รับใช้พระเจ้าและคริสตจักรท้องถิ่นเห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่คริสตจักรท้องถิ่นแต่ละภาค จะต้องรวมกันในงานพันธกิจต่างๆ ดังนั้นจึงได้ร่วมกันร่างระเบียบของคริสตจักรซึ่งเป็นธรรมนูญและใช้ร่วมกัน รวมถึงการตั้งองค์การ “คริสตจักรสัมพันธ์ในประเทศไทย” ขึ้นมา
ตั้งแต่นั้นมา คริสตจักรสัมพันธ์ในประเทศไทย ได้เติบโตขึ้น และมีบทบาทในคริสตจักรทั่วทุกภาคของประเทศไทย โดยเฉพาะการเป็นสมาชิกองค์การใหญ่ของสหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย ซึ่งตั้งแต่นั้นมาคริสตจักรสัมพันธ์ในประเทศไทยได้มีบทบาทในองค์การของคริสเตียนหลายแห่งด้วย
ต่อมาโอเอ็มเอฟ. และคริสตจักรสัมพันธ์ในประเทศไทย ได้ร่วมมือกันส่งมิชชันนารีไทยไปต่างประเทศ โดยได้จัดนิทรรศการมิชชันนารีไทยขึ้นมาครั้งแรกในกรุงเทพฯ และครอบครัว อาจารย์นรินทร์ อาจารย์วิไลรัตน์ ศรีทันดร ได้ถวายตัวไปเป็นมิชชันนารีไทยในประเทศเขมร
คริสตจักรสัมพันธ์ในประเทศไทยได้ตั้ง “มูลนิธิพันธกิจสัมพันธ์” ขึ้นมา จุดประสงค์ เพื่อจดทะเบียนที่ดินคริสตจักรให้เรียบร้อย และเพื่อให้คริสตจักรที่เป็นสมาชิกของคริสตจักรสัมพันธ์ในประเทศไทย จะได้เป็นที่รู้จักดีของสังคมไทย เป็นที่ถวายเกียรติพระเจ้า มูลนิธิพันธกิจสัมพันธ์ก็ได้ทำพันธกิจสังคมสงเคราะห์ ซึ่งมีกิจกรรมหลายอย่างอยู่ภายใต้การดูแลเช่น บ้านพักเด็กกำพร้า การเยี่ยมเยียนประกาศในเรือนจำ การช่วยเหลือคนไทยที่ประสบภัยธรรมชาติ และงานสัมพันธ์คราฟ เป็นต้น
วันที่ 21-23 ตุลาคม 2008 ปีนี้ เราทุกคนได้มาร่วมกัน เพื่อจัดงานฉลองครบ 25 ปีของคริสตจักรสัมพันธ์ในประเทศไทย และเป็นครั้งแรกที่คริสตจักรที่อยู่ในคริสตจักรสัมพันธ์ในประเทศไทยทั่วประเทศ ได้มีโอกาสมาพบกัน รวมกัน เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในองค์พระเยซูคริสต์ และการฉลองครั้งนี้ เป็นโอกาสดี ที่เราทุกคนจะชื่นชมยินดีต่อพระพักตร์พระเจ้า ในการนำของพระองค์ในชีวิตของผู้เชื่อทุกคนที่อยู่ในคริสตจักรท้องถิ่นทั่วประเทศ และในงานพันธกิจต่างๆที่มีต่อสังคมไทย
เรามารวมกัน ภายใต้ร่มคริสตจักรสัมพันธ์ในประเทศไทย เพื่อฉลองความสัตย์ซื่อของพระเจ้าตลอด 25 ปี ที่ผ่านมา และเรามองไปข้างหน้าด้วยความแน่ใจว่า พระเจ้าจะนำคริสตจักรสัมพันธ์ในประเทศไทย ก้าวไปข้างหน้าด้วยการทรงนำ และการอวยพระพรของพระเจ้า
“ข้าพเจ้าแน่ใจว่า พระองค์ผู้ทรงตั้งต้นการดีไว้ในพวกท่านแล้ว จะทรงกระทำให้สำเร็จ จนถึงวันแห่งพระเยซูคริสต์…”
ศจ.อรัญ – อารีย์ เบ็นเนตต์